วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 8


สิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้

    ดิฉันได้เรียนรู้ถึงรายละเอียดของเรื่องต่างๆมากมาย เกี่ยวกับเรื่อง การเขียนจดหมาย ซึ่งวันนี้ได้เรียนการเขียนจดหมายธุรกิจและการเขียนจดหมายเชิงกิจธุระ ในแต่ละอย่างก็มีเนื้อหาความรู้ดังนี้


แบบฟอร์ม

    คือ  เอกสารที่จัดทำขึ้น โดยเว้นช่องว่างไว้สำหรับให้บุคคลแต่ละคนกรอกข้อความลงไป เพื่อให้เป็นการสะดวกแก่ผู้รวบรวมในการข้อความนั้นไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ
แบ่งเป็น  4  ประเภท
1. แบบฟอร์มที่ใช้ติดต่อบังคับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน  แบบฟอร์มชนิดนี้หน่วยงานเป็นผู้จัดเตรียมขึ้น
2. แบบฟอร์มผู้อื่นขอความร่วมมือให้กรอก  แบบฟอร์มใช้เพื่อต้องการทราบข้อมูลทั้งที่เป็นข้อเท็จจริง
3. แบบฟอร์มใช้ภายในองค์การ องคืการสมัยนี้มีระบบการรวบรวมเรื่องราวทุกชนิดที่เกี่ยวกับบุคลากรในหน่วยงานของตนด้วยวิะีให้กรอก เช่น แบบฟอร์มใบลา
4. แบบฟอร์มสัญญา  สัญญาในที่นี้  หมายถึง  เอกสารที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย เช่น สัญญาซื้อขายสินค้า
การเขียนจดหมายกิจธุระ

    คือ  จดหมายที่เขียนไปเพื่อติดต่อสื่อสารกันระหว่างบุคคลหรือหน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ  เพื่อแจ้งเรื่องการงานหรือเรื่องส่วนตัว  โดยต้องไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้า  จดหมายเชิงกิจธุระ  ได้แก่  จดหมายลาป่วย  จดหมายลากิจ  จดหมายขอความร่วมมือหรือขอความช่วยเหลือ  (การขอความอนุเคราะห์)  จากองค์กรหรือหน่วยงานต่าง  ๆ (กึ่งทางการ)
      - จดหมายเปิดผนึก  คือ  เป็นจดหมายประเภทกิจธุระเขียนเผยแพร่ต่อสาธารณะชน สื่อมวลชน (ต้องการให้ทุกคนรู้ เช่น เขียนจดหมายไปให้นักข่าวเพื่อเอาข่าวนี้ไปเผยแพร่)
      - จดหมายราชการ  หรือหนังสือราชการ  เป็นจดหมายที่ติดต่อสื่อสารระหว่างส่วนราชการหนึ่งกับอีกส่วนราชการหนึ่ง  (ต้องใช้ภาษาระดับทางการ)
      - การเขียนประกาศ  ประกาศเป็นการสื่อสารที่ใช้เผยแพร่ได้กว้างขวาง
        * ประกาศทางราชการ  มักจะมีข้อความที่ค่อนข้างยาว ละเอียดและเกี่ยวเนื่องกับตัวบทกฎหมาย  โดยมีจุดประสงค์จะประกาศแจ้งให้บุคคลทั่วไปได้รับทราบ


การเขียนจดหมายธุรกิจ

ประเภทของจดหมาย  มีดังนี้
1. จดหมายส่วนตัว  :  จดหมายถึงเพื่อน ญาติพี่น้อง
2. จดหมายกิจธุระ   :  จดหมายลาป่วย ลากิจ
3. จดหมายธุรกิจ     :  จดหมายติดต่อเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ
4. หนังสือราชการ   :  เอกสารที่ใช้ในการติดต่อกับราชการ

ประเภทของจดหมายธุรกิจ  มีดังนี้
1. จดหมายสมัครงาน
2. จดหมายเปิดเครดิต หรือขอเปิดบัญชี
3. จดหมายเสนอขายสินค้าหรือบริการ
4. จดหมายสอบถามและตอบสอบถาม
5. จดหมายสั่งซื้อสินค้า
6. จดหมายตอวา และปรับความเขาใจ
7. จดมายเตือนหนี้ และทวงหนี้
8. จดหมายไมตรีจิต

รูปแบบของจดหมายธุรกิจ
-  จดหมายธุรกิจแบบราชการ
-  จดหมายธุรกิจแบบไมย
-  จดหมายธุรกิจแบบสากล  ใช้กันเป็นสากล  ได้แก่
     -  แบบบล็อก (block style) เป็นรูปแบบที่พิมพ์ให้ทุกบรรทัดชิดเส้นกั้นหน้า ยกเว้นเฉพาะที่อยู่ผู้ส่ง (กรณีที่ใช้หัวจดหมายที่พิมพ์สำเร็จรูปไว้) 
    -  แบบเซมิบล็อก  พิมพ์ส่วนต่าง ๆ  ของจดหมายเหมือนแบบมอดิไฟด์บล็อก  เพียงแต่ทุกย่อหน้าบรรทัดแรกของข้อความให้ย่อหน้าเข้าไป  5  -  10  เคาะ  ทุกย่อหน้า 

การเขียนหัวข้อต่างๆ ในจดหมายธุรกิจ
- หัวข้อจดหมาย ชื่อและที่อยู่ของบริษัท ห้างร้าน หรือกิจการเจ้าของจดหมาย เพื่อบอกให้ผู้อ่านทราบว่าจดหมายฉบับดังกล่าวมาจากที่ใด และจะตอบจดหมายส่งหลับไปยังที่ใด โดยอาจอยู่กลางหน้ากระดาษ ทางด้านซ้าย หรือทางด้านขวามือก็ได้
- วันเดือนปี  วัน เดือน ปี ที่เขียนจดหมาย เพื่อเป็นข้อมูลในการอ้างอิงหรือการติดต่ออันอาจมีขึ้นในภายหลัง ให้ลงเฉพาะตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขของปี พ.ศ.
- เรื่อง  เขียนสั้นๆกะทัดรัด
- คำขึ้นต้น  มักใช้คำว่า "เรียน" 
- ข้อความ  มักเขียน 2-3 ย่อหน้า
- คำลงท้าย  “ขอแสดงความนับถือ” แต่ทั้งนี้ต้องใช้ให้สอดคล้องกับคำขึ้นต้น และถูกต้องกับระดับชั้นของบุคคลตามที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ 
- ชื่อเต็ม  การพิมพ์ชื่อเต็มของเจ้าของลายมือชื่ออันได้แก่ ชื่อ นามสกุล และคำนำหน้าบอกสถานภาพ ตลอดจนตำแหน่ง โดยพิมพ์ห่างจากคำลงท้ายประมาณ ๔ ช่วงบรรทัดพิมพ์เดี่ยวทั้งนี้เพื่อเว้นที่ว่างไว้สำหรับลงลายมือชื่อ นอกจากการพิมพ์ชื่อเต็มแล้ว บริษัทบางแห่งนิยมพิมพ์ชื่อบริษัทไว้ในส่วนนี้ด้วย โดยอาจพิมพ์ให้อยู่เหนือหรือใต้ชื่อที่พิมพ์เต็ม
- ตำแหน่งของผู้ลงนามในจดหมาย  (ต้องใส่  เช่น ตำแหน่ง นักศึกษา)
- อักษรย่อของผู้ลงนามหรือผู้พิมพ์
- สิ่งที่ส่งมาด้วย  ส่วนที่ระบุชื่อสิ่งของหรือเอกสารที่ส่งไปพร้อมกับจดหมายฉบับนั้น ในกรณีที่มีสิ่งของหรือเอกสารมากกว่า ๑ รายการ นิยมบอกเป็นเลขลำดับ อย่างไรก็ดี บางหน่วยงานที่ยึดถือตามรูปแบบของจดหมายติดต่อราชการ อาจวางตำแหน่งของสิ่งที่ส่งมาด้วยต่อจากส่วนคำขึ้นต้น

ลักษณะของภาษาที่ใช้ในการเขียนจดหมายธุรกิจ
- จดหมายส่วนตัว
- จดหมายสอบถาม
- จดหมายตอบสอบถาม

ความรู้ใหม่

1.  ได้ถึงองค์การกับองค์กร อะไรใหญ่กว่ากัน

    องค์กร
-  บุคคล และคณะบุคคล หรือสถาบัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของหน่วยงานใหญ่

    องค์การ
-  ศูนย์รวมกลุ่มบุคคลหรือกิจการที่ประกอบกันขึ้นเป็นหน่วยงานเดียวกัน เพื่อดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายหรือในตราสารจัดตั้งซึ่งอาจเป็นหน่วยงานของรัฐ                         เช่น องค์การของรัฐบาล หน่วยงานเอกชน เช่น บริษัทจำกัด สมาคม หรือหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ
    ***ข้อสรุป คือ องค์การใหญ่กว่าองค์กร***

2.  ได้รู้ถึงการเขียนคำลงท้ายในจดหมายกิจธุระ ว่าสิ่งใดเหมาะกับบุคคใด
-  ขอแสดงความเคารพ  ใช้กับบุคคลที่ใกล้ชิดกัน เช่น พ่อแม่,ครู
-  ขอแสดงความนับถือ   ใช้กับบุคคลทั่วไปที่เราไม่รู้จักแต่จำเป็นต้องติดต่อด้วย 

ข้อเสนอแนะ

    การเรียนการสอนในครั้งนี้ได้ทั้งความรู้เรื่องของการเขียนจดหมายและประเภทของจดหมาย แล้วท่านอาจารย์มีการอธิบายและสอนที่ดีซึ่ง ทำให้นักศึกษาเข้าใจได้ง่ายอีกทั้งยังมีคำถาม ให้ได้ตอบ - ได้คิด
ในระหว่างที่มีการสอนเรื่องต่างๆไปด้วย เพื่อเป็นการทดสอบถึงความเข้าใจของเรื่องนั้นๆ                 ทำให้นักศึกษาเรียนรายวิชานี้ แบบมีความสุข รู้สึกสนุกสนานและไม่เครียดที่จะเรียน อีกทั้งยังได้ความรู้ของเรื่องนั้นๆแบบเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องในชีวิตประจำวันของเรา  


นางสาวสุนันทา  แก้วเกตุ  รหัสนักศึกษา 55113400170  ตอนเรียน D1

     

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 7

    สิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้

     ดิฉันได้เรียนรู้ถึงรายละเอียดของเรื่องต่างๆมากมาย เกี่ยวกับเรื่องการ เขียนกวีนิพนธ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความหมาย และส่วนต่างๆที่มีในการเขียนกวีนิพนธ์ ความรู้ต่างๆมีหลายเรื่องดังนี้


การเขียนกวีนิพนธ์

    คือ เป็นบทร้อยกรองที่สร้างสรรค์ความงามด้วยตัวอักษร เสียง จังหวะ หรือท่วงทำนอง ทีถ้อยคำสื่อสารอันอาจเป็นสัญลักษณ์หรือการสร้างภาพพจน์ เพื่อให้ผู้อ่านจินตนาการได้อย่างสวยงามกว้างไกลและไร้ขอบเขตรวมทั้งเกิดความรู้สึกสะเทือนใจที่ลึกซึ้ง
การเขียนกวีนิพนธ์ มีดังนี้
1. คำสัมผัสคล้องจอง คือ พยางค์ที่คล้องจองด้วยเสียงของสระหรือเสียงของพยัญชนะ            หากคล้องจองด้วยเสียงสระเรียกสัมผัสสระ หากคล้องจองด้วยเสียงพยัญชนะเรียกสัมผัสอักษร
2. สัมผัสนอก  สัมผัสใน
สัมผัสนอก คือ สัมผัสนอกวรรคและนอกบท หรือระหว่างวรรคและระหว่างบท เป็นสัมผผัสบังคับด้วยเสียงสระ
สัมผัสใน คือ สัมผัสในวรรคเดียวกัน ซึ่งมีทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร
3. คำเสียงสูง (จัตวา) จะลงท้ายด้วยวรรครับ ของกลอนสุภาพ
4. คำไวพจน์  คือ คำที่มีความหมายอย่างเดียวกันหรือคำพ้องความหมายนั่นเอง และจะลงท้ายด้วยเสียงจัตวา
5. คำเอก คำโท "มักใช้ในโคลงสี่สุภาพ" คือ เสียงเอก  รูปเอก  แต่หากไม่มีคำเอก  ให้ใช้คำอื่นแทนแต่จะเรียกเอกโทษ  หรือโทโทษ

    ร้อยกรองและหลักเกณฑ์ทั่วไป
บทร้อยกรอง ถ้าจะแต่งให้ดีต้องมีคำคล้องจอง
  ร้อยกรอง มี 5 ชนิด คือ
โคลง
2 ฉันท์
3 กาพย์
4 กลอน
5 ร่าย
ร้อยกรองเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คำประพันธ์
    คำคล้องจอง
เป็นคำที่ใช้สระเดียวกัน หรือ มีตัวสะกดมาตราเดียวกัน
    บทสรุป
    การใชช้คำคล้องจองเป็นลักษณะหนึ่งของการเขียนบทร้อยกรองซึ่งทำให้เกิดความไพเราะและมีความหมาย คำคล้องจองที่
    การแต่งกาพย์ยานี 11                                                                                                   ความหมายของกาพย์ยานีเป็นบทร้อยกรองที่บังคับจำนวนคำ วรรค และสัมผัส เช่นเดียวกับการแต่งกลอนกาพย์ยานี 11 คือ คำประพันธ์หรือบทร้อบกรองที่มีบังคับเฉพาะจำนวนคำ คือ 11 คำ        ***ส่วนตอนจบลงท้ายด้วยเสียงสามัญ***                                                                บทสรุป                                                                                                     กาพย์ หมายถึง คำประพันธ์ชนิดหนึ่งที่มีการกำหนด คณะ พยางค์และสัมผัส เช่นเดียวกับฉันท์ แต่ไม่มีบังคับคำครุ-ลหุอย่างฉันท์                        
                                         
                                                                                                                    
    ความรู้ใหม่
วรรณคดี จะต้องมีระยะเวลาที่ยาวนาน ทุกคนต้องยอมรับว่าดี ต้องประทับตราวรรณคดีสโมสร                (รัชกาลที่6)
 งานเขียนส่วนใหญ่จะเป็นวรรณกรรม  ยกเว้นหนังสือเรียน  เพราะถือว่าเป็นหนังสือให้ความรู้                 เป็นเอกสารประกอบการสอน

    ข้อเสนอแนะ
    การเรียนการสอนในครั้งนี้ท่านอาจารย์ได้สอนเรื่องการเขียนกวีนิพนธ์ ได้อย่งเข้าใจได้ง่ายขึ้นและมีหลักการจำที่ใน ในการเรียนการสอนท่านอาจารย์ก็จะมีคำถามต่างๆมาถามในเรื่องที่เรียน เพื่อเป็นการวัดถึงความรู้ความเข้าใจของเรื่องนั้นๆ

นางสาวสุนันทา  แก้วเกตุ  รหัสนักศึกษา 55113400170 ตอนเรียน D1

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ที่ 6

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้

      ดิฉันได้เรียนรู้ถึงรายละเอียดของเรื่องต่างๆ บางเรื่องเป็นการเรียนเพื่อทบทวนความรู้เดิมแต่บางเรื่องหรือในบางข้อมูลเป็นความรู้ใหม่ที่ได้เพราะไม่เคยเรียนหรือไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้มี ดังนี้
1. โวหาร
     โวหาร  หมายถึง   โวหารหมายถึงกลวิธีในการใช้ภาษาด้วยการเลือกสรรถ้อยคำมาเรียบเรียงในการการเขียนเรื่องราวต่องๆ หรือพูดให้มีความหมายสละสลวย เหมาะสม ชัดเจน เพื่อให้บรรลุตามจุดประสงค์
โวหารแบ่งออกเป็น  5  ประเภท
- บรรยายโวหาร   คือ  กระบวนความที่แจกแจงเรื่องราว 
พรรณนาโวหาร คือ  การเขียนบรรยายที่มุ่งเน้นให้ผู้อ่านเห็นเป็นภาพ มุ่งเน้นให้เห็นอารมณ์ ความรู้สึก
- เทศนาโวหาร    คือ  กระบวนการเขียนแบบแนะนำสั่งสอน
- อุปมาโวหาร      คือ  กระบวนการเขียนเปรียบเทียบให้เกิดความคมคายชัดเจน
- สาธกโวหาร      คือ  การเขียนที่มีการยกตัวอย่างขึ้น 
2. ภาพพจน์
      ภาพพจน์  หมายถึง  ถ้อยคำที่เรียบเรียงเป็นสำนวนที่ไม่กล่าวตรงมาแต่ทำให้เกิดเป็นภาพและถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างกว้างขวาง
ประเภทของภาพพจน์
อุปมา        คือ การเปรียบเทียบที่คำเชื่อมมีความหมายว่าเหมือน (การเปรียบเหมือน)
- อุปลักษณ์  คือ การกล่าวเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง (เปรียบเป็น) 
อธิพจน์  คือ การกล่าวเกินจริง
- อวพจน์  คือ การกล่าวน้อยกว่าความเป็นจริง
สัญลักษณ์ คือ การเรียกชสิ่งหนึ่งโดยใช้คำอื่นมาแทน 
- นามนัย   คือ ใช้คำวลีบ่งลักษณะหรือคุณสมบัติสิ่งใด สิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่งคล้ายๆสัญลักษณ์  เช่น สมอ แทน    กองทัพเรือ
- สัทพจน์  คือ  เสียงจากธรรมชาติ
บุคคลวัต คือ การทำสิ่งไม่มีชีวิตให้มีชีวิต
- ปฎิพจน์  คือ การใช้คำที่มีความหมายขัดแย้งกันมาเข้าคู่กันอย่างกลมกลืน สร้างความสะเทือนใจ และให้สารลึก    ซึ้งกินใจ

ความรู้ใหม่

      การเรียนในครั้งนี้ทำให้ได้รู้จักความหมายของคำต่างๆเหล่านี้ 
ศิลป์ คือ ความงามของภาษา
ภาพพจน์ คือ ถ้อยคำที่ทำให้เกิดภาพ
ภาพลักษณ์ คือ แทนตัวเรา แทนสิ่งของ

ข้อเสนอแนะ

      การเรียนการสอนในรายวิชานี้ ท่านอาจารย์มีการสอนที่ดีทำให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นในการสอนจะมีการ 
ยกตัวอย่างเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจเนื้อหาอย่างถูกต้องเพื่อการนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
อีกทั้งมีคำถามมาให้ได้เล่นแต่สอดแทรกความรู้ไว้ทำให้การเรียนสนุกสนานและทำให้ผู้เรียนมีความสุข


                   นางสาวสุนันทา    แก้วเกตุ  รหัสนักศึกษา  55113400170  ตอนเรียน  D1